วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

ประเพณีลากพระ

ประเพณีลากพระ



จังหวัด นครศรีธรรมราช
ช่วงเวลา
วัันลากพระ จะทำกันในวันออกพรรษา คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ โดยตกลงนัดหมายลากพระไปยังจุดศูนย์รวม วันรุ่งขึ้น แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ จึงลากพระกลับวัด
ความสำคัญ
ป็นประเพณีทำบุญในวันออกพรรษา ปฏิบัติตามความเชื่อว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดา เมื่อครบพรรษาจึงเสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ พุทธศาสนิกชนไปรับเสด็จ แล้วอัญเชิญพระพุทธเจ้าประทับบนบุษบกแล้วแห่แหน

พิธีกรรม 

๑. การแต่งนมพระ
นมพระ หมายถึงพนมพระเป็นพาหนะที่ใช้บรรทุกพระลาก นิยมทำ ๒ แบบ คือ ลากพระทางบก เรียกว่า นมพระ ลากพระทางน้ำ เรียกว่า "เรือพระ" นมพระสร้างเป็นร้านม้า มีไม้สองท่อนรองรับข้างล่าง ทำเป็นรูปพญานาค มีล้อ ๔ ล้ออยู่ใต้ตัวพญานาค ร้านม้าใช้ไม้ไผ่สานทำฝาผนัง ตกแต่งลวดลายระบายสีสวย รอบ ๆ ประดับด้วยผ้าแพรสี ธงริ้ว ธงสามชาย ธงราว ธงยืนห้อยระยาง ประดับต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้สดทำอุบะห้อยระย้า มีต้มห่อด้วยใบพ้อแขวนหน้านมพระ ตัวพญานาคประดับกระจกแวววาวสีสวย ข้าง ๆ นมพระแขวนโพน กลอง ระฆัง ฆ้อง ด้านหลังนมพระวางเก้าอี้ เป็นที่นั่งของพระสงฆ์ ยอดนมอยู่บนสุดของนมพระ ได้รับการแต่งอย่างบรรจงดูแลเป็นพิเศษ เพราะความสง่าได้สัดส่วนของนมพระขึ้นอยู่กับยอดนม 

๒. การอัญเชิญพระลากขึ้นประดิษฐานบนนมพระ
พระลาก คือพระพุทธรูปยืน แต่ที่นิยมคือ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ พุทธบริษัทจะสรงน้ำพระลากเปลี่ยนจีวร แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนนมพระ แล้วพระสงฆ์จะเทศนาเรื่องการเสด็จไปดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้า ตอนเช้ามืดในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ชาวบ้านจะมาตักบาตรหน้านมพระ เรียกว่า ตักบาตรหน้าล้อ เสร็จแล้วจึงอัญเชิญพระลากขึ้นประดิษฐานบนนมพระ ในตอนนี้บางวัดจะทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อให้การลากพระราบรื่น ปลอดภัย 

๓. การลากพระ
ใช้เชือกแบ่งผูกเป็น ๒ สาย เป็นสายผู้หญิงและสายผู้ชาย โดยใช้โพน (ปืด) ฆ้อง ระฆัง เป็นเครื่องตีให้จังหวะเร้าใจในการลากพระ คนลากจะเบียดเสียดกันสนุกสนานและประสานเสียงร้องบทลากพระเพื่อผ่อนแรง
ตัวอย่าง บทร้องที่ใช้ลากพระสร้อย :
อี้สาระพา เฮโล เฮโล
ไอ้ไหรกลมกลม หัวนมสาวสาว
ไอ้ไหรยาวยาว สาวสาวชอบใจ


สาระ 
ระเพณีลากพระ เป็นการแสดงออกถึงความพร้อมเพรียง สามัคคีพร้อมใจกันในการทำบุญทำทาน จึงให้สาระและความสำคัญดังนี้
๑. ชาวบ้านเชื่อว่า อานิสงส์ในการลากพระ จะทำให้ฝนตกตามฤดูกาล เกิดคติความเชื่อว่า "เมื่อพระหลบหลัง ฝนจะตกหนัก" นมพระจึงสร้างสัญลักษณ์พญานาค เพราะเชื่อว่าให้น้ำ การลากพระจึงสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในสังคมเกษตร
๒. เป็นประเพณีที่ปฏิบัติตามความเชื่อว่า ใครได้ลากพระทุกปี จะได้บุญมาก ส่งผลให้พบความสำเร็จในชีวิต ดังนั้นเมื่อนมพระลากผ่านหน้าบ้านของใคร คนที่อยู่ในบ้านจะออกมาช่วยลากพระ และคนบ้านอื่นจะมารับทอดลากพระต่ออย่างไม่ขาดสาย
๓. เกิดแรงบันดาลใจ แต่งบทร้อยกรองสำหรับขับร้องในขณะที่ช่วยกันลากพระ ซึ่งมักจะเป็นบทกลอนสั้น ๆ ตลก ขบขัน และโต้ตอบกัน ได้ฝึกทั้งปัญญาและปฏิภาณไหวพริบ

ประเพณีการแห่นก

ประเพณีการแห่นก



จังหวัด นราธิวาส
ช่วงเวลา
นการแห่นกนั้นได้มีการจัดขึ้น ในโอกาสต่าง ๆ เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง หรือในโอกาสการต้อนรับแขกเมืองของชาวนราธิวาส และยังจัดในพิธีการเข้าสุหยัด
ความสำคัญ
ระเพณีการแห่นก เป็นประเพณีการทางพื้นเมืองของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะที่นราธิวาส ซึ่งได้มีการกระทำสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานาน เป็นประเพณีนิยมที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา ไม่เป็นประเพณีตามนักขัตฤกษ์ แต่จัดขึ้นเป็นครั้งคราวตามโอกาส เพื่อความสนุกรื่นเริง เป็นการแสดงออกเกี่ยวกับการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ในศิลปะและอาจจัดขึ้นในการแสดงความคารวะ แสดงความจงรักภักดี แก่ผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ หรือในโอกาสต้อนรับแขกเมือง บางทีอาจจัดขึ้นเพื่อความรื่นเริงในพิธีการเข้าสุนัต หรือที่เรียกว่า "มาโซยาวี" หรือจัดขึ้นเพื่อประกวดเป็นครั้งคราว นกที่นิยมทำขึ้นเพื่อการแห่มีเพียง ๔ ตัว คือ
๑. นกกาเฆาะซูรอหรือ นกกากะสุระ นกชนิดนี้ตามสันนิษฐานคือ "นกการเวก" เป็นนกสวรรค์ที่สวยงามและบินสูงเทียมเมฆการประดิษฐ์มักจะตบแต่งให้มีหงอนสูงแตกออกเป็น ๔ แฉก นกชนิดนี้ชาวพื้นเมืองเรียกว่า "นกทูนพลู" เพราะบนหัวมีลักษณะคล้ายบายศรีพลู และมีการทำให้แปลกจากนกธรรมดา เพราะเป็นนกสวรรค์
๒. นกกรุดา หรือ นกครุฑ มีลักษณะคล้ายกับครุฑ เชื่อกันว่านกชนิดนี้มีอาถรรพ์ ผู้ทำมักเกิดอาเพศ มักเจ็บไข้ได้ป่วย ในปัจจุบันจึงไม่นิยมจัดทำนกชนิดนี้ ในขบวรแห่
๓. นกบือเฆาะมาศ หรือนกยูงทอง มีลักษณะคล้ายกับนกกาเฆาะวูรอ มีหงอน สวยงามเป็นพิเศษ ชาวไทยมุสลิมยกย่องนกยูงทองมาก และไม่ยอมบริโภคเนื้อ เพราะเป็นนกที่รักขน การประดิษฐ์ตกแต่งรูปนกพญายูงทองนั้น จึงมีการตกแต่งที่ประณีตถี่ถ้วนใช้เวลามาก
๔. นกบุหรงซีงอ หรือนกสิงห์ มีรูปร่างคล้ายราชสีห์ ตามคตินกนี้มีหัวเป็นนก แต่ตัวเป็นราชสีห์ ปากมีเขี้ยวงาน่าเกรงขาม


พิธีกรรม 

ระเพณีการแห่นกนั้น สันนิษฐานว่า จะมีพิธีกรรมบางอย่าง เช่น การตั้งพิธีสวดมนต์ตามวิธีการทางไสยศาสตร์ เพื่อขับไล่หรือขจัดปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัย ให้หมดสิ้นไปให้มีความสุข ความเจริญก้าวหน้า

สาระ 
ระเพณีการแห่นกนั้นนอกจากที่ให้ความสนุกสนานแล้ว ยังให้คติ ความเชื่อ ความรัก ความสามัคคี และความเชื่อในการยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้ร่วมพิธีในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ และเป็นการอนุรักษ์ให้ประเพณีแห่นกยังคงอยู่สืบเนื่องต่อไป 

ประเพณีการแข่งโพน

ประเพณีการแข่งโพน



จังหวัด พัทลุง
ช่วงเวลา
ลายเดือนสิบ ก่อนประเพณีชักพระ
ความสำคัญ
วัดต่าง ๆ เตรียมทำบุษบก หุ้มโพน และเริ่มการคุมโพนเพื่อเป็นการประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่า ทางวัดจะจัดให้มีการชักพระ ต่อมามีการโต้เถียงเกี่ยวกับเสียงโพน จึงคิดเล่นสนุกสนานมากขึ้น มีการท้าพนันกันบ้างว่า ผู้ตีโพนคนใดเรี่ยวแรงดีที่สุด ลีลาท่าทางการตีดีที่สุด โพนวัดใดเสียงดังมากที่สุด จึงมีการแข่งขันตีโพนกันขึ้น ในระยะ แรก ๆ เข้าใจว่าคงตีแข่งขันภายในวัดและค่อยขยายออกมาภายนอกวัด เพิ่มจำนวนโพนขึ้น จัดประเภทและมีกติกามากขึ้น การคิดเล่นสนุกสนานเหล่านี้ ทำให้มีการแข่งโพนกันอย่างกว้างขวางในระยะหลัง และกลายเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สืบต่อกันมา ปัจจุบันการแข่งโพนเป็น กิจกรรมการละเล่นที่สำคัญของจังหวัดพัทลุง

พิธีกรรม 

ารแข่งโพนแบ่งได้เป็น ๒ อย่าง คือ
๑. แข่งมือ ตัดสินให้ผู้ตีที่มีกำลังมือดีกว่าเป็นฝ่ายชนะ โดยให้ตีจนผู้ใดอ่อนล้าก่อนเป็นฝ่ายแพ้ ปัจจุบันไม่นิยมเพราะทำให้เสียเวลามาก
๒. แข่งเสียง ตัดสินให้โพนที่มีเสียงดังกว่าเป็นฝ่ายชนะ การแข่งขันจะเป็นแบบพบกันหมดหรือแพ้คัดออกก็ได้ จับสลากแข่งขันเป็นคู่ ๆ ใช้ผู้ตีฝ่ายละ ๑ คน กรรมการ ๓ - ๕ คน ตัดสินให้คะแนน โดยอยู่ห่างจากสถานที่ตีไม่น้อยกว่า ๑๕๐ เมตร ณ สถานที่ตี กรรมการควบคุมการตีและคุมเวลา เรียกคู่โพนเข้าประจำที่ ลองตีก่อนฝ่ายละประมาณ ๓๐ วินาทีเพื่อดูว่าโพนฝ่ายใดมีเสียงทุ้ม และโพนฝ่ายใดมีเสียงแหลม จากนั้นเริ่มให้ทั้งคู่ตีพร้อมกันภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งโดยมากจะใช้เวลา ๑๐ - ๑๕ นาที ขณะที่โพนกำลังตีแข่งขันอยู่นั้น กรรมการฟังเสียงทั้งหมดจะตั้งใจฟังเสียงโพนแล้วตัดสินให้โพนที่มีเสียงดังกว่าเป็นฝ่ายชนะ โดยถือเอาเสียงข้างมากของกรรมการเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน


สาระ 
ารแข่งขันโพน นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันกับพิธีการทางศาสนาบางประการแล้วกิจกรรมการละเล่นชนิดนี้ยังช่วยให้มองเห็นการแสวงหาความสุข ความบันเทิงใจ อีกทั้งยังเป็นสื่อในการประสานความสัมพันธ์ทางสังคม ทำให้ชาวบ้านมีโอกาสพบปะสัมพันธ์กัน เป็นกิจกรรมการละเล่นที่สำคัญนำมาสู่การสร้างสรรค์ ความสามัคคีในชุมชน จึงควรอนุรักษ์ให้ การละเล่นชนิดนี้คงอยู่ตลอดไป

ประเพณีหามเริน

ประเพณีหามเริน



จังหวัด สงขลา
ช่วงเวลา
ารเคลื่อนย้ายเรือนด้วยการช่วยกันหามจากที่เก่าไปวางไว้ที่ใหม่โดยไม่ต้องรื้อถอนเรือน
ความสำคัญ
นื่องจากเรือนของชาวภาคใต้ไม่ได้ขุดหลุมเสา แต่จะวางเสาเรือนไว้บน "ตีนเสา" เมื่อเจ้าของต้องการจะเคลื่อนย้ายเรือนไปตั้ง ณ ที่ใหม่ ก็ใช้วิธีการออกปากเพื่อนบ้านมาช่วยกันหามแทนการรื้อถอน สามารถเข้าอยู่ได้ทันท

พิธีกรรม 

ก่อนที่จะมีการหามเริน เจ้าของบ้านจะต้องขนย้ายข้าวของที่วางอยู่บนบ้านนั้นออกให้หมด ถ้าเป็นบ้านมุงหลังคาด้วยกระเบื้องก็จะรื้อกระเบื้องทั้งหมดออกเสียก่อน เพื่อกันกระเบื้องแตกเสียหายและช่วยลดน้ำหนักของบ้าน หากบ้านหลังนั้นปูพื้นบ้านหรือกั้นด้วยกระดาน ก็จะรื้อไม้กั้นออกเป็นแผง ๆ หรืองัดไม้ปูพื้นออกเป็นแผ่น ๆ เพราะจะได้ประกอบกลับสู่สภาพเดิมได้สะดวกรวดเร็ว และสามารถเข้าอยู่ได้ทันที
หลังจากขนย้ายข้าวของและรื้อบ้านบางส่วนเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านจะออกปากไหว้วานเพื่อนบ้านมาช่วยกันหามเรินตามวันเวลาที่กำหนด ถ้าบ้านหลังใหญ่มีน้ำหนักมากจะใช้ไม้กลมหรือไม้เหลี่ยมที่มั่นคงแข็งแรงและมีความยาวพอสอดทแยงเข้าใต้ถุนบ้าน แล้วผูกคาดไว้กับรอดหรือตงหรือเสาอย่างแน่นหนา ให้ปลายข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างยื่นเลยออกมาเพื่อหาม จะได้มีที่แบกหามเพิ่มขึ้น
ก่อนที่จะหามเรินไปถึงที่ตั้งใหม่ ให้นำตีนเสาวางให้ได้ที่และปรับระดับให้เรียบร้อย แล้วยกบ้านขึ้นวางไว้เหนือตีนเสานั้น เป็นการเสร็จสิ้นการหามเริน ส่วนการมุงหลังคา กั้นฝา ปูพื้น เป็นหน้าที่ของเจ้าของบ้านจะเป็นผู้ดำเนินการต่อไป
การหามเริน จะเลือกทำเฉพาะกรณีที่สถานที่ที่ตั้งใหม่ไม่ห่างไกลจากที่ตั้งเดิมมากนัก และมักจะทำในหน้าแล้ง เพื่อไม่ต้องแบกหามผ่านทางที่เป็นดินโคลนดินอ่อนที่มีน้ำขัง ซึ่งจะทำให้การเดินลำบาก ถ้าหากสถานที่ตั้งใหม่อยู่ห่างไกลมักจะใช้วิธีการลากแทนการหาม 


สาระ 
ารหามเรินเป็นประเพณีของการเคลื่อนย้ายเรือนไปอยู่ที่ใหม่ในสภาพเดิมเป็นการประหยัดเวลาและวัสดุก่อสร้างในการสร้างใหม่ 

ประเพณีงานเสด็จพระแข่งเรือ

ประเพณีงานเสด็จพระแข่งเรือ



จังหวัด ระนอง
ช่วงเวลา
านเสด็จพระแข่งเรือเป็นงานประเพณีที่สำคัญของอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ซึ่งจัดขึ้นในช่วงออกพรรษของทุกปี ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน คือตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี ณ บริเวณแม่น้ำกระบุรี ในช่วงคอคอดกระ
ความสำคัญ
ป็นประเพณีที่ชาวอำเภอกระบุรีจะร่วมกันตกแต่งเรืออย่างสวยงาม เพื่อไปพายกันในแม่น้ำกระบุรี มีการประกวดเรือประเภทต่าง ๆ งานเสด็จพระแข่งเรือจัดขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๐ โดยสืบทอดประเพณีมาจากทางใต้ 

พิธีกรรม 

๑. นำเรือมาตกแต่งให้สวยงามทำเป็นเรือพระ โดยจัดทำพนมพระอยู่กลางลำเรือ
๒. อัญเชิญพระพุทธรูปไปประดิษฐานในพนมพระกลางลำเรือแล้วจัดสมโภชพระพุทธรูปกลางน้ำ
๓. หลังจากสมโภชพระพุทธรูปกลางน้ำแล้ว จะมีการแห่เรือพระไปตามลำน้ำกระบุรีซึ่งเป็นแม่น้ำกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า
๔. การร้องเพลงเรือโดยเรือชาวบ้านมีการร้องเพลงเรือกันอย่างสนุกสนาน และมีการประกวดเพลงเรือด้วย
๕. มีการแข่งขันเรือประเภทต่างๆ เช่น ประกวดเรือยาว ประเภทสวยงาม ประเภทความคิดและประเภทตลกขบขัน

สาระ 
ป็นประเพณีที่รวมความสามัคคีของชาวอำเภอกระบุรี ประชาชนที่ไปอยู่ในต่างถิ่นจะเดินทางกลับบ้านมาร่วมงานกันอย่างล้นหลาม สามารถสร้างความรักและผูกพันกับท้องถิ่นได้อย่างดี ประชาชนในจังหวัดใกล้เคียงและชาวพม่าต่างสนใจมาร่วมงานเสด็จพระแข่งเรือจำนวนมากเป็นประจำทุกปี